เหตุผลทำไมค้างคาวถึงห้อยหัวลงตลอดวัน

Bat-hanging-

ค้างคาว เป็นสัตว์ที่มีความแปลกประหลาดในสายตาของเรา โดยเฉพาะท่านอนของพวกมัน ที่ชอบห้อยหัวอยู่ตามเพดานถ้ำ ซึ่งดูเหมือนว่าพวกมันจะมีความสุขที่ได้นอนกลับหัวกลับหางเสียเหลือเกิน แต่สาเหตุที่พวกมันอยู่ในท่ากลับหัวหรือห้อยหัวลงมานั้นมันมีเหตุผลอยู่ เนื่องจากโครงสร้างร่างกายของค้างคาวตามธรรมชาตินั้น ไม่สามารถที่จะดีดตัวจากพื้นดินขึ้นสู่อากาสได้เหมือนกับนก เพราะปีกของค้างคาวไม่มีพลังงานพอที่จะยกตัวขึ้นเหมือนกับเฮลิคอปเตอร์ อีกอย่างพวกมันมีขาที่สั้น ทำให้ไม่สามารถวิ่งได้เร็วพอที่จะบินขึ้นไปในอากาศ ทำให้พวกมันไม่มีตัวเลือกนอกจากเกาะห้อยหัวอยู่ตามที่สูง เมื่อจะเคลื่อนที่ไปไหน ก็แค่ปล่อยทิ้งตัวลงมาตามแรงโน้มถ่วง และกระเพือปีกบินได้ในทันที

ส่วนที่ว่าทำไมค้างคาวจะต้องห้อยหัวในขณะที่นอนหลับนั้น เพราะว่าเป็นเรื่องของการอยู่รอด พวกมันจำเป็นต้องมีความไวในการหลบหนี การที่ห้อยหัวพร้อมบินตลอดเวลา นั่นหมายความว่าเป็นการเตรียมพร้อมรับมือการสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ อีกทั้งยังเป็นวิธีที่ดีในการหลบนักล่าและอันตรายต่างๆ  (อย่างเช่นมนุษย์ หรือเหยี่ยว)

Bat-hanging

ซึ่งเป็นที่ปลอดภัยในการพักผ่อนในยามจำเป็นของพวกมัน การห้อยหัวแบบนี้ แน่นอนว่ามีสัตว์ไม่กี่ชนิดที่จะมองเห็น หรือถ้าเห็นก็ไม่อาจจะเอื้อมไปถึง ในขณะที่หลายคนคิดว่าพวกมันมักจะมีต้องแย่งถิ่นฐานกับสัตว์ปีกอย่างนก แต่จริงๆ แล้วไม่เลย ส่วนใหญ่แล้วค้างคาวจะตั้งถิ่นฐานในลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ซึ่งเป็นที่ๆ นก หรือสัตว์ชนิดอื่นๆ ไม่สามารถจะอยู่อาศัยได้

ในขณะที่มนุษย์เมื่ออยู่ในท่าทางที่กลับหัว หรือห้อยหัวลงเป็นระยะเวลาไม่กี่นาที ก็อาจจะทำให้เลือดในร่างกายไหลไปรวมที่สมอง ซึ่งมันเป็นปัญหาแน่ๆ ถ้าอยู่ในลักษณะนี้ต่อไป ลองจินตนาการว่าห้อยหัวนอนแบบค้างคาวทั้งคืนดูสิ การที่พวกมันไม่มีปัญหาเหมือนกับมนุษย์เรา ก็เพราะว่าค้างคาวมีวิวัฒนาการที่แตกต่างจากมนุษย์ ทำให้มีลักษณะพิเศษแตกต่างกันตามพันธุ์กรรม เมื่อพวกมันเข้านอนจะปล่อยให้ร่างกายอยู่ในภาวะผ่อนคลาย ไม่เหมือนกับมนุษย์ที่ร่างกายยังคงเชื่อมต่อกับระบบกล้ามเนื้ออยู่ตลอดเวลา หลังจากที่ค้างคาวอยู่ในโหมดผ่อนคลาย จะถ่ายน้ำหนักผ่านเส้นเอ็นไปยังกรงเล็บ น้ำหนักทำให้กรงเล็บเกาะแน่นอยู่กับที่ และมันจะยังคงอยู่อย่างนั้นต่อไป ถึงแม้ว่าพวกมันจะตายในขณะที่ห้อยหัวก็จะไม่ตกลงมา หากไม่มีใคร หรืออะไรไปเขย่าให้มันตกลงมาจากที่สูงนั่นเอง

ตำนานและความเข้าใจผิดกับค้างคาวกันมาตลอด

Legend

ในขณะที่คนโบราณส่วนใหญ่หยิบยกเรื่องของค้างคาว มาทำเป็นตำนานในอารยธรรมของมนุษย์ อย่าเช่นในตำนานแดรกคิวลา จนกลายเป็นเรื่องราวเล่าขานสืบต่อกันนานนับร้อยนับพันปี จนกระทั่งปัจจุบันได้มีการดัดแปลงมาทำเป็นภาพยนต์สยองขวัญ ทำให้ภาพลักษณ์ของคนส่วนใหญ่ที่มีต่อค้างคาวว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวและมีอันตราย แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกมันห่างไกลการเป็นศัตรูอย่างมาก ถ้าจะให้พูดกันตรงๆ พวกมันเป็นมิตรกับมนุษย์ เป็นสิ่งมีชีวิตสำคัญในระบบนิเวศวิทยาทั่วโลก ดอกไม้มากมายที่จำเป็นต้องให้ค้างคาวมาช่วยผสมเกสรดอกไม้ให้ รวมถึงยังช่วยกระจายเมล็ดพันธ์ไปตามสถานที่ต่างๆ ส่วนข้อดีอีกอย่างหนึ่งก็คือเป็นตัวควบคุมศัตรูพืชด้วยการกินแมลง นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังใช้จำนวนประชากรของค้าวคาว ในการบ่งชี้ความเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศในพื้นที่ได้อีกด้วย

พวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่พิเศษ บางคนอาจมองว่ามันสง่างาม แต่ส่วนใหญ่มองว่ามันเป็นหนูบินได้ แต่ถ้าเอามาเปรียบทางด้านพันธุกรรมแล้ว เจ้าหนูบินได้ หรือค้างคาวของเรามีความใกล้เคียงกับมนุษย์มากกว่าหนูเยอะเลย พวกมันจะออกลูกได้ปีละ 1 ตัว โดยมีอายุขัยเฉลี่ยประมาณ 30 ปี ค้างคาวเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดเดียวที่บินได้ แถมยังบินด้วยความเร็วสูงจนน่าเหลือเชื่อ ในการเดินบินของพวกมันนั้น จะแทบไม่ได้ใช้ดวงตาในการมองเลย แต่เป็นการใช้สิ่งที่เรียกว่าคลื่นโซน่า ซึ่งเป็นการส่งคลื่นความถี่สูงออกไป (สูงเกินกว่าที่มนุษย์จะได้ยินได้) และเมื่อคลื่นเหล่านี้กระทบกับวัตถุ พวกมันจะกระดอนกลับหามาตัว ข้อมูลเหล่านี้ทำให้ค้างคาวสามารถรวมรวบข้อมูลที่จำเป็นได้เช่น ตำแหน่งของวัตถุ ลักษณะพื้นที่ การเลื่อนไหว โดยกระบวนการนี้ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที ทำให้พวกมันเป็นนักล่ากลางคืนที่น่ากลัวที่สุดของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก อย่างแมลง ถ้าเราอยากรู้ว่าคลื่นโซน่าของมันทำงานอย่างไร ก็ให้นึกว่าพวกมันสามารถจำลองภาพสามมิติรอบตัวมันได้ แถมยังอัพเดตตลอดเวลาอีกด้วย

ดังนั้นวลีที่ว่า “ตาบอดเหมือนค้างคาว” จึงไม่เป็นจริงอีกต่อไป เพราะว่าพวกมันมีความสามารถในการมองเห็นกว่าดวงตาของมนุษย์หลายเท่าด้วยการใช้คลื่นโซน่า ทำให้พวกมันหากินในตอนกลางคืนได้แบบสบายๆ ขนาดสายพันธุ์ทีเล็กสุด ขนาดลำตัวประมาณ 3.5 ถึง 5 เซนติเมตร สามารถจับแมลงขนาดเล็กได้ถึง 3,000 ตัวในคืนเดียว นอกจากนี้ยังมีสายพันธุ์สงวนที่คุณจะหาดูไม่ได้ตามสวนหลังบ้านของคุณกว่า 18 ชนิด ซึ่งเป็นสายพันธ์ที่หายากและเสี่ยงต่อการสูญพันธ์

คุณสมบัติโครงสร้างของค้างคาว

Bat-frame-

ค้างคาว เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเหมือนกับสัตว์เลี้ยงของเรา แต่พวกมันมีเส้นขนตามตัว และมีอุณภูมิเลือดที่อุ่น เมื่อพวกมันยังแบเบาะ ค้างคาวตัวเกมจะป้อนนมพวกมันเป็นเวลากว่าสัปดาห์ เพื่อให้มันแข็งแรงพอจะอยู่รอดได้บนโลก ซึ่งน่าอัศจรรย์มากที่ค้างคาวเหล่านี้ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพียงชนิดเดียว ที่มีความสามารถในการบินได้เหมือนกับนก (สมัยก่อนอาจจะมีสิ่งมีชีวิตอื่นๆ แต่อาจสูญพันธุ์ไปตามกาลเวลา) โครงสร้างปีกของมันมีกระดูกอยู่ทั่วไปหมด ทำหน้าที่เหมือนกับแขน และมือของมนุษย์ โดยทั่วไปแล้วค้างคาวมีอยู่หลายร้อยสายพันธ์ แต่ที่พบเห็นส่วนใหญ่มีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 17 สายพันธุ์ มีตั้งแต่ขนาดตัวเล็กเท่าฝ่ามือ จนถึงขนาดใหญ่โต บางสายพันธุ์มีขนาดตัวยาวเพียง 4 เซนติเมตร และหนัก 5 กรัมเท่านั้น ซึ่งเป็นน้ำหนักที่น้อยกว่าเหรียญเสียอีก ส่วนค้างคาวขนาดใหญ่นั้น จะมีน้ำหนักอยู่ที่ราวๆ 40 กรัมโดยประมาณ อย่างในแถบเอเชียที่มีค้างคาว “Javanese flying fox” เป็นจำพวกที่กินผลไม้และเมื่อกางปีกออก จะมีความยาวรวม 2 เมตร ทำให้มันครองตำแหน่งค้างคาวขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

อาหารการกินของพวกมันส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นจำพวกแมลง และบางครั้งก็เป็นผลไม้ แต่โดยรวมแล้วพวกมันแต่ละชนิดจะมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันออกไป พวกมันมีความเป็นนักล่าสูง ชอบบินไล่ล่าเหยื่อกลางอากาศ และพวกมันมักจะมาห้อยหัวกินอาหารที่พวกมันล่ามาได้ ด้วยการบินเผาพลาญพลังงานพวกมันในแต่ละวัน ทำให้ต้องกินอาหารเพิ่มขึ้น จึงไม่แปลกใจที่พวกค้างคาวเหล่านี้จะกินได้ทั้งวันเพื่อให้ได้พลังงานเพียงพอ ขนาดตัวเล็กยังกินแมลงได้ถึง 3000 ตัวต่อคืนเลยทีเดียว

Bat-frame

แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกมันหาอาหารไม่ได้ล่ะ แน่นอนว่ามันจะไม่อดตาย เพียงแต่จะพยายามเคลื่อนที่ให้น้อยที่สุด หรือที่เรียกว่าเข้าจำศีลเพื่อสงวนพลังงานส่วนใหญ่ไว้ให้ร่างกาย และมีบ่อยครั้งที่พวกมันมีอันตรายต่อสังคมมนุษย์ หลายชนิดทั่วโลกมักจะกินได้ทั้งผลไม้ ปลา กบ เลือด หรือแม้กระทั่งพวกเดียวกัน

ส่วนเอกลักษณ์อันโดดเด่นที่เมื่อคุณไปเยือนถิ่นของค้างคาว มักจะพบว่าพวกมันเกาะอยู่บนที่สูง และห้อยหัวลงมา หลายคนส่วนใหญ่อาจจะยังไม่เข้าใจเหตุผลของมัน แต่จริงๆ แล้วที่มันทำก็เพราะว่าความสะดวกในการเคลื่อนที่ เมื่อพวกมันจะบินออกไป ก็แค่ปล่อยตัวลงกลางอากาศ และออกบินได้ทันที ในขณะที่ถ้าเป็นสัตว์ปีกทั่วๆ ไป ที่เกาะอยู่ตามกิ่งไม้ หรืออยู่บนพื้นดิน จะต้องใช้พลังงานในการยกตัวมากกว่านั่นเอง จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมค้างคาวจึงห้อยหัวลงมา

ความเชื่อว่าค้างคาวแวมไพร์กินเลือดเป็นอาหารจริงหรือไม่

Blood-Vampire-Bat

ค้างคาว เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกนำไปอ้างอิงตามตำนานแวมไพร์ ในแถบประเทศตะวันตกมานานหลายร้อยปี แต่มีเพียง 3 สายพันธุ์หลักจากทั้งหมด 1,100 สายพันธุ์ ที่ชื่นชอบในการกินเลือดเป็นอาหาร โดยเรียกค้างคาวกลุ่มนี้ว่า “ค้างคาวแวมไพร์” โดยพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดเดียวที่กินเลือดเป็นอาหาร ซึ่งการกินเลือดของมันทำให้พวกมันมีถูกมองน่ากลัว และเป็นอันตรายต่อมนุษย์ รวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆ สายพันธุ์แล้วค้างคาวแวมไพร์ประกอบไปด้วย Desmodus rotundus, Diphylla ecaudata และ Diaemus youngi มีถิ่นอาศัยอยู่ในส่วนต่างๆ ของอเมริกากลาง และอเมริกาใต้ เลือดที่เป็นอาหารของพวกมันหาได้จากการออกจู่โจมสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อย่างสมเสร็จ จนถึงม้า และบางครั้งก็มนุษย์ ส่วนใหญ่ที่ไหนทำปศุสัตว์ ก็มีโอกาสจะเจอพวกมันมากกว่าที่อื่น ในขณะเดียวกันสายพันธุ์อื่นก็ชื่นชอบเลือดนก อย่าง Diaemus youngi ที่กินได้ทั้งเลือดนก และสัตว์ชนิดอื่นๆ

เมื่อพวกค้างคาวออกล่าเหยื่อ มันจะบินเข้าจู่โจมเป้าหมายด้วยฟันอันแหลมคมของมัน ด้วยการกัดตามตัวของเหยื่อ เมื่อปากแผลกว้างพอที่จะให้เลือดออกมากปริมาณหนึ่ง จากนั้นก็จะเข้าไปเลียเลือดของเหยื่อ โดยจะเก็บไว้ในปากที่มีความพิเศษ ที่ผลิตโปรตีนที่เรียกว่า Plasminogen ช่วยยับยั้งการแข็งตัวของเลือดที่เพิ่งเก็บมาได้

Blood-Vampire-Bat-

เพื่อให้มันอยู่ในสภาพของเหลวในขณะที่พวกมันกำลังกินอยู่ เพื่อสร้างพลังงานที่ร่างกายต้องการ ค้างคาวแวมไพร์จะต้องดูดเลือด 1 ออนซ์ในทุกๆ มื้อ หมายความว่าต้องกินตามน้ำหนักครึ่งหนึ่งของตัวเองในช่วงระยะเวลากินแต่ละช่วง 20 ถึง 30 นาที ด้วยกระเพาะที่พิเศษช่วยดูดซึมสารอาหารต่างๆ ในเลือด และส่งไปยังไตเพื่อขับถ่ายของเสียออกมา หลังจากไม่กี่นาทีที่ได้กินอาหารเข้าไป

ทั้งสามสายพันธุ์ ถูกจัดเป็นค้างคาวที่มีความว่องไวสูงกว่าพวก และมักจะหากินได้ทั้งในพื้นดิน และอากาศ ด้วยน้ำหนัก และขาที่ใหญ่ของมัน ทำให้เคลื่อนที่ได้คล่องแคล่วกว่าชนิดอื่นๆ นอกจากนี้ พวกมันยังเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นสายพันธุ์ที่ช่วยเหลือซึ่งกัน ในขณะที่ตัวแม่จะต้องหาอาหารมาให้ลูก จนกระทั่งลูกแข็งแรงพอที่จะออกหาอาหารได้ด้วยตนเอง หากว่าไม่สามารถหาเลือดได้ภายในคืนนั้น ตัวอื่นๆ ที่เหลือในกลุ่มก็อาจจะแบ่งปันอาหารที่พวกมันหามาได้ ซึ่งจะตัวที่ได้รับจะต้องหามาตอบแทนคืนในอนาคต หากไม่ทำตามโดยการกินอาหารที่เพื่อนแบ่งโดยไม่คืนกลับไป เมื่อมันขาดแคลนก็อาจจะไม่มีใครช่วยเหลือ หรือแบ่งปันให้กับมันเลย ถือว่าเป็นสังคมที่มีความคล้ายคลึงกับมนุษย์เลยทีเดียว